เมนู

จิตตลดาวรรคที่ 2


1. อรรถกถาทาสีวิมาน


วรรคที่ 2

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ทาสีวิมานมีคาถาว่า อปิ สกฺโกว เทวินฺโท ดังนี้เป็นต้น. ทาสี-
วิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อุบาสกคนหนึ่ง
ชาวกรุงสาวัตถี ไปพระวิหารในเวลาเย็น กับอุบาสกเป็นอันมาก ฟัง
ธรรมแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อบริษัทออกไปแล้ว กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่วันนี้ไป ข้าพระองค์จักถวายภัตตาหาร
ประจำ 4 สำรับ แก่สงฆ์ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสธรรมกถา
อันสมควรแก่เขา ทรงปล่อยเขากลับไป. อุบาสกนั้น เรียนพระภัตตุท-
เทสก์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจัดภัตตาหารประจำไว้ 4 สำรับ
ถวายสงฆ์ วันพรุ่งนี้ ขอพระเป็นเจ้า โปรดมาเรือนของข้าพเจ้าเถิดดังนี้แล้ว
กลับไปเรือนของตนบอกเรื่องนั้นแก่ทาสีแล้ว สั่งสำทับว่าเจ้าไม่พึงลืม
เรื่องนั้นตลอดเวลาเป็นนิตย์เชียวนะ ทาสีนั้นก็รับคำ. ตามปกติ นางมี
ศรัทธาสมบูรณ์ อยากได้ทำบุญมีศีล เพราะฉะนั้น จึงตื่นเช้าทุกวัน
ตระเตรียมข้าวและน้ำอันประณีต กวาดที่นั่งของพวกภิกษุ จัดเครื่องเรือน
ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปูอาสนะ นิมนต์ภิกษุผู้เข้าไปก่อนให้นั่งบน
อาสนะเหล่านั้นแล้ว จึงไหว้บูชาด้วยของหอมดอกไม้ธูปและเทียน อังคาส
โดยเคารพ.

ต่อมาวันหนึ่ง นางเข้าไปหาภิกษุผู้ฉันเสร็จไหว้แล้ว จึงถามอย่าง
นี้ว่า ท่านเจ้าขา จะหลุดพ้นจากทุกข์มีชาติเป็นต้นนี้ ได้อย่างไรเจ้าคะ.
ภิกษุทั้งหลายให้สรณะและศีล 5 แก่นางแล้ว ประกาศให้รู้สภาพของ
ร่างกาย ประกอบนางไว้ในปฏิกูลมนสิการใส่ใจว่าปฏิกูล ภิกษุอีกพวกหนึ่ง
กล่าวธรรมมีกถาที่เกี่ยวด้วยความไม่เที่ยง. นางรักษาศีลอยู่ 16 ปี ทำ
โยนิโสมนสิการติดต่อกันมาตลอดวันหนึ่ง ได้ความสบายในการฟังธรรม
และเจริญวิปัสสนาเพราะญาณแก่กล้า ก็ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
สมัยต่อมา นางทำกาละแล้วไปเกิดเป็นนางบำเรอสนิทเสน่หาของท้าว
สักกเทวราช. นางอันดุริยเทพหกหมื่นบำเรออยู่ มีอุปสรแสนหนึ่งแวดล้อม
เสวยทิพย์สมบัติใหญ่ ร่าเริงบันเทิงพร้อมด้วยบริวาร เที่ยวไปในอุทยาน
เป็นต้น. ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เห็นนางแล้ว ได้ถามโดยนัยที่กล่าว
ในหนหลังนั่นแหละว่า
ท่านแวดล้อมด้วยหมู่เทพนารี เที่ยวชมไปโดย
รอบในสวนจิตตลดาวันอันน่ารื่นรมย์ ประดุจท้าว
สักกเทวราช ส่องแสงสว่างไสวไปทุกทิศ เหมือนดาว
ประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะ.
เช่นนี้ เพราะบุญอะไร อิฐผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน
และโภคทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูราเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถาม
ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ ท่าน
จึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของท่านจึง
สว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.

นางเทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ เทวดา
ตอบว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้เป็น
ทาสีหญิงรับรู้ในตระกูลอื่น ดิฉันนั้นเป็นอุบาสิกา
ของพระโคดม ผู้มีพระจักษุและพระเกียรติยศ พาก-
เพียงออกไปจากกิเลส ในศาสนาของพระโคดมผู้ทรง
พระคุณคงที่ เพราะมีมนสิการมั่นอยู่ในจิตว่า แม้ถึง
ร่างกายนี้ จะแตกทำลายไปก็ตามที่ การจะหยุด
ความเพียรในการเจริญกัมมัฏฐานนี้ ไม่มีเป็นอันขาด
ทาง [ มรรค ] แห่งสิกขาบท 5 [ศีล 5] เป็นทาง
สวัสดี มีความเจริญู ไม่มีหนาม ไม่รก เป็นทางตรง
สัตบุรุษประกาศแล้ว ท่านโปรดดูผลแห่งความเพียร
คือที่ดีฉันบรรลุอริยมรรค ตามอุบายที่ต้องการเกิด
ดีฉันถูกท้าวสักกเทวราชผู้มีอำนาจเชิญมา เหล่า
ดุริยเทพหกหมื่น ช่วยกันปลุกดีฉัน คือ เทพบุตร
นามว่า อาลัมพะ คัคคมะ ภีมะ สาธุวาทิ ปสังสยะ
โปกขระ และสุผัสสะ และเหล่าเทพธิดาวัยรุ่น นาม
ว่า วีณา โมกขา นันทา สุนันทา โสณทินนา
สุจิมหิตา อาลัมพุสา มิสสเกสี บุณเฑริกา และ
เทพกัญญาอีกพวกหนึ่งเหล่านี้คือ นางเอนิปัสสา

นางสุปัสสา นางสุภัททา นางมุทุกาวที ผู้ประเสริฐ
กว่าเทพอัปสรทั้งหลาย ก็ช่วยกันปลุกเทพอัปสรเหล่า
นั้น ได้เข้ามาหาดีฉันตามกาลอันควร พากันพูดด้วย
วาจาที่น่ายินดีว่า เอาเถิดพวกเราจักฟ้อนรำ ขับร้อง
จักนำท่านให้รื่นรมย์ดังนี้ นันทนวัน มหาวัน เป็น
ที่ไม่เศร้าโศก เป็นที่น่ารื่นรมย์ของทวยเทพชั้น
ไตรทศนี้ มิใช่สำหรับผู้ที่มิได้ทำบุญไว้ หากเป็นของ
สำหรับผู้ทำบุญไว้เท่านั้น มิใช่สุขทั้งในโลกนี้และ
โลกหน้า หากเป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
สำหรับผู้ทำบุญไว้เท่านั้น อันบุคคลผู้ปรารถนาร่วมกับ
ทวยเทพชั้นไตรทศเหล่านั้น ควรจะบำเพ็ญกุศลไว้
ให้มาก เพราะว่าผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมเพรียบพร้อม
ด้วยโภคสมบัติบันเทิงอยู่ในสวรรค์.

ในบทเหล่านั้นอปิศัพท์ ในบทว่า อปิ สกฺโกว เทวินฺโท นี้ ใช้ใน
สัมภาวนะความยกย่อง. อิวศัพท์ ท่านลบสระอิออกกล่าวความอุปมา.
เพราะฉะนั้น จึงมีความว่าประดุจท้าวสักกะจอมทวยเทพ ท่านกล่าวยกย่อง
เทวดานั้นดุจท้าวสักกะ ก็เพื่อแสดงบริวารสมบัติของเทวดานั้น. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า อปิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า จิตฺตลตาวเน ได้แก่ ที่
บังเกิดด้วยอานุภาพแห่งบุญของนางเทพธิดาชื่อจิตตา. อนึ่ง เทวอุทยาน
ได้นามว่าจิตตลดาวัน เพราะโดยมากในสวนนั้นมีเถาไม้อันเป็นทิพย์ชื่อ
สันตานกะเป็นต้น อันวิจิตรคือประกอบด้วยความวิเศษแห่งดอกไม้และ

ผลไม้เป็นต้นอันงดงาม.
บทว่า ปรเปสฺสิยา ได้แก่ หญิงรับใช้ในกิจนั้น ๆ ในตระกูล
แห่งชนเหล่าอื่น. อธิบายว่า ขวนขวายงานของคนเหล่าอื่น.
บทคาถาว่า ตสฺสา เม นิกฺกโม อาสิ สาสเน ตสฺส ตาทิโน
ความว่า เมื่อดีฉันนั้นเป็นทาสีอยู่ เป็นอุบาสิกาของพระผู้มีพระภาคพุทธ-
เจ้า ผู้มีพระจักษุ 5 รักษาศีลทำมนสิการกัมมัฏฐานอยู่ 16 ปี ครั้น
กัมมัฏฐานกล่าวคือโพธิปักขิยธรรม 37 เมื่อเกิดขึ้นแก่ดีฉันด้วยอานุภาพ
แห่งมนสิการ ความเพียรชอบซึ่งนับเข้าในสัตถุศาสน์นั้นได้ชื่อว่า นิกกมะ
เพราะออกไปจากฝ่ายสังกิเลสธรรม ได้มีได้เป็น คือ ในสัตถุศาสน์ของ
พระโคดมผู้ชื่อว่ามีพระคุณคงที่ เพราะถึงพร้อมด้วยสมบัติคือลักษณะของ
ผู้คงที่ในโลกธรรมมีอิฏฐารมณ์เป็นต้น.
ก็เพื่อแสดงอาการที่เป็นไปส่วนเบื้องต้น ของความเพียรนั้น. เทวดา
จึงกล่าวว่า กามํ ภิชฺชตุยํ กาโย เนว อตฺเถตฺถ สนฺถนํ ดังนี้ คาถา
นั้นมีอธิบายว่า ดีฉันปลุกความเพียรว่า ถ้าว่าร่างกายของเราจะแตก
ทำลายไปก็ตามที ดีฉันไม่ทำความเยื่อใย แม้เพียงเล็กน้อยในกายนี้เสียไป
เราจะไม่หยุดความเพียร คือทำความเพียรให้หย่อน ในการเจริญกัมมัฏฐาน
นี้เป็นอันขาด แล้วขวนขวายวิปัสสนา.
บัดนี้ เทวดาเมื่อจะแสดงคุณที่ตนขวนขวายวิปัสสนานั้น อย่างนั้น
ได้มาแล้ว จึงกล่าวว่า
ทาง [ มรรค] แห่งสิกขาบท 5 เป็นทาง
สวัสดี มีความเจริญ ไม่มีหนาม ไม่รก เป็นทาง

ตรง สัตบุรุษประกาศแล้ว โปรดดูผลแห่งความ
พากเพียรออกจากกิเลส คือที่ดีฉันบรรลุอริยมรรค
ตามอุบายที่ต้องการ.

ในข้อนั้น มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้ มรรคใด ชื่อว่าต่อเนื่อง
สิกขาบททั้ง 5 เพราะได้มาโดยเป็นอุปนิสัยแห่งสิกขาบท คือส่วนแห่ง
สิกขาทั้ง 5 ที่สมาทานเป็นนิจศีล และสิกขาบททั้ง 5 นั้นบริบูรณ์ เกิดขึ้น
ในสันดานใด มรรคนั้น ชื่อโสวัตถิกะคือสวัสดี เพราะทำสันดานนั้นให้
สำเร็จผลเป็นความสวัสดี และมีประโยชน์ดี โดยอาการทุกอย่าง ชื่อว่า
สิวะ เพราะไม่ถูกสังกิเลสธรรมเบียดเบียน และเพราะเหตุถึงความเกษม
ชื่อว่าอกัณฏกะ เพราะไม่มีหนามคือราคะเป็นต้น ชื่อว่าอคหนะ เพราะ
ตัดรกชัฏ คือกิเลส ทิฏฐิ และทุจริตได้เด็ดขาด ชื่อว่า อุชุ เพราะเป็น
เหตุปราศจากคดงอโกงทุกอย่าง อริยมรรค ชื่อสัมภิปเวทิตะ เพราะ
สัปบุรุษมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ประกาศไว้แล้ว ดีฉัน แม้มีปัญหาแค่
สององคุลี ต้องการด้วยความพากเพียรออกจากกิเลสอันใดที่เป็นอุบาย
บรรลุอริยมรรคนั้นโดยประการใด ขอโปรดดูผลนี้ของความพากเพียร
ออกจากกิเลส คือความเพียรตามที่กล่าวแล้วนั้นเถิด โดยประการนั้น.
ท่านเรียกท้าวสักกะ ดังกล่าวมานี้.
เทวดากล่าวว่า ดีฉันถูกท้าวสักกเทวราช ผู้มีอำนาจเชิญมา ก็
เพราะตนเองอยู่ในอำนาจท้าวสักกะ. อีกนัยหนึ่ง ท้าวสักกะ ชื่อวสวัตตี
เพราะใช้อำนาจความเป็นใหญ่ของตนในเทวโลกทั้งสอง [คือชั้นจาตุม-
มหาราชและชั้นดาวดึงส์]

ดีฉันถูกท้าวสักกเทวราชผู้มีอำนาจนั้นเชิญมา หรือท้าวเธอพึงเชื้อ
เชิญในเวลาเล่นกีฬาพลางสนทนาปราศรัยไปพลาง. ประกอบความว่า
ท่านจงดูผลแห่งความเพียรเป็นเหตุก้าวไปสู่คุณเบื้องหน้า. ดนตรีมีองค์ 5
มีประเภทอาตตะกลองหน้าเดียว และวิตตะกลองสองหน้าเป็นต้นบรรเลง
พร้อมกันกับ 12 มือ [ 12x5 ] จึงรวมเป็น 60 ก็เทพธิดาหมายเอา
ดนตรีเครื่อง 5 เหล่านั้นประมาณพันหนึ่งปรากฏแล้ว ด้วยนั่งอยู่ใกล้ ๆ
จึงกล่าวว่า สฏฺฐิ ตุริยสหสฺสานิ ปฏิโพธํ กโรนฺติ เม ดังนี้. ในบท
นั้น บทว่า ปฏิโพธํ ได้แก่ ปลุกปีติโสมนัส.
คำเป็นต้น ว่า อาลมฺโพ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ระบุชื่อของ
เทพบุตรผู้ขับร้องประกอบเครื่องดนตรี โดยเอกเทศส่วนหนึ่ง แต่นั่นเป็น
ชื่อของเครื่องดนตรี. นางเทพธิดามีวีณาและโมกขาเป็นต้น. บทว่า
สุจิมฺหิตา คือ สุทธมิหิตา อนึ่ง นั่นเป็นชื่อเหมือนกัน. บทว่า มุทุกาวที
ได้แก่ การขับร้องนุ่มนวลยิ่งนัก หรือเป็นเพียงชื่อ. บทว่า เสยฺยาเส
คือประเสริฐกว่า. บทว่า อจฺฉรานํ คือน่าสรรเสริญกว่าในการขับร้อง
หมู่ในเหล่าเทพอัปสร. บทว่า ปโพธิกา คือทำการปลุกให้ตื่น.
บทว่า กาเลน คือตามกาลอันควร. บทว่า อภิภาสนฺติ ได้แก่
กล่าวต่อหน้า หรือน่ายินดียิ่ง เทพอัปสรกล่าวโดยประการใด เพื่อแสดง
ประการนั้น จึงกล่าวว่า หนฺท นจฺจาม คายาม หนฺท ตํ รมยามเส
ดังนี้.
บทว่า อิทํ ความว่า สถานที่อันเราได้แล้วนี้ หาความโศกมิได้
เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าไม่มีความโศก เพราะมีพร้อมแห่งรูปเป็นต้นอันน่า
ใคร่ น่าปรารถนา น่ารักและน่าพอใจ ชื่อว่าน่าเพลิดเพลินเพราะเพิ่มพูน

ความยินดีตลอดกาลทุกเมื่อ นั่นแล. บทว่า ติทสานํ มหาวนํ ได้แก่
อุทยานทั้งใหญ่ ทั้งน่าบูชาของทวยเทพชั้นดาวดึงส์.
นางกล่าวโดยนัยเจาะจงว่า ชื่อว่าทิพยสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมได้
ด้วยอำนาจแห่งบุญกรรมเท่านั้น เมื่อแสดงโดยนัยไม่เจาะจงอีก ได้กล่าว
คาถาว่า สุขํ อกตปุญฺญานํ ดังนี้.
เมื่อกล่าวธรรมโดยทิพยสถานอันตนได้แล้ว เป็นที่น่าใคร่ทั่วไป
กับคนเหล่าอื่นอีก จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า เตสํ สหพฺยกามานํ ดังนี้.
บทว่า เตสํ คือ ทวยเทพชั้นดาวดึงส์. บทว่า สหพฺยกามานํ คือ
ปรารถนาอยู่ร่วมกัน. ก็คำนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถกัตตุ [ผู้นำ]. ชื่อว่า
สหวะเพราะไปคือเป็นไปร่วมกัน . ภาวะแห่งผู้ไปร่วมกันนั้น ชื่อว่า สหพฺยํ
เหมือนภาวะแห่งผู้กล้าหาญ ชื่อว่า วีริยํ. พระเถระแสดงธรรมแก่เทวดา
นั้นพร้อมกับบริวาร เมื่อเทวดาทำบุญกรรมของตนให้แจ่มแจ้งแล้ว
อย่างนี้ กลับมาจากเทวโลกแล้วก็กราบทูลเรื่องนั้น ถวายพระผู้มีพระภาค
เจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเนื้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง
ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้เป็น
ประโยชน์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลกแล.
จบอรรถกถาทาสีวิมาน

2. ลขุมาวิมาน


ว่าด้วยลขุมาวิมาน


[19] พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพธิดาว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านผู้มีรัศมีงามยิ่ง ส่อง
สว่างไสวไปทุกทิศ ประดุจดาวประกายพรึก ฉะนั้น
เพราะบุญอะไรท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และรัศมี
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ บ้านของดีฉันตั้งอยู่ใกล้
ทางออกประตูบ้านชาวประมง ดีฉันมีใจเลื่อมใสใน
พระอริยะผู้ตรงได้ถวายข้าวสุก ขนมสด ผักดอง และ
น้ำเครื่องดื่ม เจือด้วยรสต่าง ๆ แก่พระสาวกทั้งหลาย
ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังท่องเที่ยวไปในบ้าน
นั้น ประการหนึ่ง ดีฉันได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบ
ด้วยองค์ 8 ประการ ตลอดวัน 14 ค่ำ 15 ค่ำ 8 ค่ำ
และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สังวรด้วยดีในศีลทุก
เมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน จึงได้ครอบครอง
วิมานนี้ เป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต เว้นขาดจากการ
เอาสิ่งของของผู้อื่น ด้วยไถยจิต จากการประพฤติ
ล่วงละเมิดในกาม สำรวมจากมุสาวาท และจาก